How to ตรวจสอบคุณภาพของเว็บไซต์
สวัสดีครับ ห่างหายไปหลายเดือนกับการเขียน Blog วันนี้ได้ฤกษ์งามยามดีเลยมาพูดถึงประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสายงานที่ผมกำลังทำอยู่นั่นก็คือ SEO
งานของผมส่วนใหญ่มักต้องคลุกคลีกับการคัดเลือกเว็บไซต์ที่ดีมีคุณภาพ เพื่อนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับองค์กร การตรวจสอบเว็บไซต์จำนวนมากจำเป็นที่จะต้องมีเครื่องมือเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระงาน ซึ่งเครื่องมือดังกล่าวต้องมีประสิทธิภาพและให้ข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำ
สำหรับเครื่องมือที่ผมเลือกใช้ประกอบไปด้วย
- Majestic – สำหรับตรวจสอบ Trust Flow และ Citation Flow อาจมีการนำ Topical Trust Flow มาประกอบการตัดสินใจด้วย
- Moz – สำหรับตรวจสอบ Domain Authority และ Page Authority
- Ahrefs – สำหรับการตรวจสอบคุณภาพของ Backlink
- Similarweb – สำหรับตรวจสอบปริมาณ Traffic และแหล่งที่มาของ Traffic
เครื่องมือที่ผมกล่าวมาข้างต้นสามารถใช้งานได้ฟรี แต่อาจมีข้อจำกัดบางอย่าง ซึ่งถ้าหากคุณพบว่ามีเครื่องมืออื่นที่สามารถทำงานได้ดีหรือเทียบเท่ากับเครื่องมือดังกล่าว ก็สามารถนำประยุกต์ใช้ได้ครับ ยกเว้น Similarweb ที่คุณสามารถใช้งานได้ฟรี ไม่จำเป็นต้องซื้อพรีเมียมให้สิ้นเปลือง
Majestic
-
Trust Flow
หลายเว็บไซต์อาจให้คำจำกัดความของ TF (Trust Flow) แตกต่างกัน และบางทีก็อาจสร้างความสับสนสำหรับมือใหม่ ถ้าพูดถึง TF ให้นึกถึงคำว่า “ความน่าเชื่อถือ” เสมอ เพราะเป็นค่าที่ได้จากการไหลของลิงค์ (Flow) เมื่อสายเหล่านั้นไหลมายังเว็บไซต์ของคุณ ความน่าเชื่อถือของเว็บคุณก็พุ่งสูงขึ้น นี่จึงเป็นที่มาของคำว่า Trust Flow
อธิบายให้เห็นภาพมากยิ่งขึ้น เปรียบเทียบระหว่างนาย A เป็นรัฐมนตรี กับนาย B เป็นโจร การแนะนำมาของนาย A ย่อม “มีความน่าเชื่อถือมากกว่า” นาย B อย่างแน่นอน
-
Citation Flow
หากพูดถึง CF หรือ Citation Flow ให้นึกถึงคำว่า “การอ้างอิง” หรือเปรียบเสมือนการเขียนบทอ้างอิงท้ายเล่มหนังสือ เมื่อมีแหล่งอ้างอิงที่มาก ย่อมมีคะแนนที่มากขึ้นตามลำดับ โดย CF มีความเกี่ยวข้องกันกับ TF แต่การที่เว็บไซต์มีค่า CF สูงไม่ได้หมายความว่าค่า TF จะสูงตามไปด้วย
MOZ
-
Domain Authority
DA หรือ Domain Authority เป็นตัวเลขที่แสดงถึงคุณภาพความน่าเชื่อถือของโดเมน รวมไปถึง Subdomain พูดง่ายๆคือรวมทั้งหมดทั้งเว็บไซต์ ยิ่งมีค่ามาก ย่อมแสดงให้เห็นความมีคุณภาพสูงของโดเมน
-
Page Authority
PA หรือ Page Authority มีความคล้ายคลึงกันกับ DA แต่จะให้คะแนนคุณภาพแก่หน้าเพจนั้นๆเป็นหลัก
Ahrefs
ตัวผมเองใช้ Ahrefs ในการตรวจสอบภาพรวมของ Backlink แต่ผมขออธิบายคร่าวก่อนว่า Backlink นั้นคืออะไร
BL (Backlink) ก็คือลิงก์ที่เชื่อมโยงจากเว็บไซต์ภายนอกเข้ามายังเว็บไซต์ของคุณ ซึ่ง BL ถือเป็นเรื่องสำคัญอันดับต้นๆที่ SEO Specialist ไม่สามารถมองข้ามได้
นี่เองจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมถึงต้องมองกันลึกไปถึง Backlink เพราะ Backlink ที่ดีย่อมนำพาให้เว็บไซต์ของคุณมีอันดับที่ดีขึ้นได้ไม่ยาก กลับกันหากเว็บไซต์คุณมี Backlink ที่ไร้คุณภาพจำนวนมาก ก็จะส่งผลกระทบโดยตรงทำให้เว็บไซต์ของคุณโดนลบออกจากผลการค้นหาในที่สุด
Similarweb
Similarweb นั้นมีความสามารถคล้ายคลึงกันกับ Google Analytics เลยก็ว่าได้ (หากคุณซื้อ Premium Package นะครับ) เพราะคุณสามารถดูรายละเอียดของ Traffic ได้เกือบทุกเว็บไซต์ในโลกอินเตอร์เน็ต แต่ในที่นี้เราจะใช้ Free Package นะครับ ไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินให้วุ่นวาย เพราะค่าที่เราสนใจในที่นี้คือปริมาณ Traffic ของเว็บไซต์นั่นเอง
Let’s Start
แล้วการเริ่มต้นตรวจสอบคุณภาพเว็บไซต์ สามารถเริ่มต้นได้อย่างไร? ไม่ต้องห่วงครับ ผมจะแนะนำขั้นตอนอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้คุณได้เข้าใจและสามารถนำไปใช้กับเว็บไซต์ของคุณหรือเว็บไซต์อื่นๆที่คุณสนใจได้ในไม่กี่ขั้นตอน
ในกรณีนี้ผมขอหยิบยกเว็บไซต์ StyleByEmilyHenderson.com มาเป็นเว็บไซต์ตัวอย่างในการเริ่มต้นตรวจสอบคุณภาพเว็บไซต์ครับ
1. เริ่มต้นส่อง DA PA จาก Moz.com
คุณสามารถเริ่มต้นตรวจสอบค่า PA DA ได้จากเว็บไซต์ Moz.com โดยเข้าไปที่เมนู Open Site Explorer จากนั้นกรอกข้อมูลเว็บไซต์ที่ต้องการตรวจสอบ
จากภาพ เว็บไซต์ดังกล่าวมีค่า DA สูงถึง 63 (จากคะแนนเต็ม 100) และ PA 69 ซึ่งจัดอยู่ในประเภทเว็บไซต์คุณภาพสูง แต่เนื่องจากไม่มีค่าที่ตายตัว กฎเกณฑ์สำหรับแต่ละคนจึงแตกต่างกัน โดยตัวผมเองให้อันดับเว็บไซต์ที่มีค่า DA PA มากกว่า 50 อยู่ในระดับสูงดังที่ปรากฏ
ค่าที่น่าสนใจต่อมาก็คือ Spam Score ซึ่งมีคะแนนเต็ม 17 คะแนน ซึ่งทาง Moz จัดอันดับความสแปมไว้ด้วยกัน 3 ระดับคือ
- Spam Score ตั้งแต่ 0-4 อยู่ในระดับต่ำ
- Spam Score ตั้งแต่ 5-7 อยู่ในระดับปานกลาง
- Spam Score ตั้งแต่ 8-17 อยู่ในระดับสูง
ซึ่งค่าสแปมนี้เองเป็นค่าที่บ่งบอกว่า เว็บไซต์นั้นมีความเสี่ยงที่จะโดนลบออกจากผลการค้นหามากน้อยเพียงใด การที่มีค่า Spam Score ต่ำยิ่งจะส่งผลดีต่อเว็บไซต์ ซึ่งเว็บไซต์ StyleByEmilyHenderson.com มีค่า Spam Score อยู่ที่ 2/17 ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่ต่ำ จัดเป็นประเภทเว็บไซต์ที่ดี
2. ส่อง TF CF จาก Majestic.com กันต่อ
ค่าที่น่าสนใจต่อมานั่นก็คือ TF และ CF ซึ่งคุณสามารถตรวจสอบได้จากเว็บไซต์ Majestic.com โดยเครื่องมือสำหรับตรวจสอบค่าดังกล่าวมีชื่อว่า Site Explorer
จากข้อมูลดังกล่าวพบว่า เว็บไซต์มีค่า TF อยู่ที่ 28 (จากคะแนนเต็ม 100) และ CF อยู่ที่ 49/100 ซึ่งโดยส่วนตัวผมมองว่าอยู่ในระดับปานกลาง สิ่งที่น่าสนใจถัดมาก็คือ Topical Trust Flow มีความคล้ายคลึงกันกับค่า TF แต่จะให้ความสำคัญในเรื่องของ Topical หรือหัวข้อของเว็บไซต์ที่เชื่อมโยงมายังเว็บไซต์ที่คุณตรวจสอบ ซึ่งหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์นี้อันดับสูงสุดคือ Business/Chemicals ที่มีค่า TTF อยู่ที่ 26 และรองลงมาคือ Society ที่ 25 คะแนน
ข้อสังเกตที่สำคัญ* เว็บไซต์ที่มีคุณภาพควรมี Topical Trust Flow อันดับต้นๆที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์หลัก ยกตัวอย่างเช่น หากคุณทำเว็บไซต์ที่เกี่ยวกับรถยนต์ ก็ควรมี TTF อันดันต้นๆเป็น Car/Automobile หรืออื่นๆที่เกี่ยวข้อง เพราะการที่ TTF นั้นไม่มีความสัมพันธ์กับเว็บไซต์หลักสามารถมองอีกมุมหนึ่งได้ว่า เว็บไซต์หลักของคุณมีลิงก์สแปมมาจากเว็บภายนอกมากเกินไปนั่นเอง
ข้อสังเกตเพิ่มเติม* ในส่วนของ External Backlinks, Referring Domains ก็มีความสำคัญ เว็บไซต์ที่ดีควรมีจำนวนของ Backlinks (External Backlinks) กับจำนวนโดเมนที่เชื่อมโยงมายังเว็บไซต์หลักไม่แตกต่างกันมาก จากภาพ ปริมาณของ Backlinks และ Ref Domains อยูที่ 29421:427 หรือ 68:1 ซึ่งค่อนข้างสูง หากปริมาณของ Backlinks มากกว่าจำนวน Ref Domains มากๆ อาจส่งผลให้โดน Google ลดอันดับหรือลบออกจากผลการค้นหาในที่สุด ปริมาณ Ref domains ต่อ Backlinks ที่ดีที่สุดจะมีค่า 1:1 แต่ถ้าพูดถึงความเป็นจริง ค่าดังกล่าวสามารถสูงสุดได้ไม่เกิน 1:10 ถือว่ายังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี
3. ตรวจสอบคุณภาพของ Backlinks กันต่อจาก Ahrefs.com
ทางเว็บไซต์ Ahrefs.com ก็มี Site Explorer ไว้สำหรับตรวจสอบข้อมูลเว็บไซต์ได้เช่นเดียวกันกับเจ้าอื่นๆที่ผมได้กล่าวถึง แต่ในหัวข้อนี้ผมจะโฟกัสในเรื่องการตรวจสอบคุณภาพของ Backlinks และรวมไปถึงเกล็ดเล็กน้อยเพิ่มเติมนะครับ
ผมต้องขอบอกไว้ก่อนว่า เรื่องการคัดกรอง Backlinks ว่าเว็บไซต์ไหนมี Backlinks ดีหรือไม่ดี ต้องใช้สามัญสำนึกพอสมควร เพราะเครื่องมือไม่สามารถประเมิณค่าดังกล่าวออกมาเป็นตัวเลขได้ทั้งหมด ผมจึงต้องใช้วิจารณญาณส่วนตัวเป็นส่วนใหญ่ ฉะนั้นหากคุณพบข้อผิดพลาดประการใด ก็กราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
จากภาพแสดงให้เห็นว่า Backlinks แต่ละอันถูกเชื่อมโยงมาจากแห่งใด (Referring Page ด้านซ้าย) และเชื่อมโยงโดยใช้ Anchor Text ว่าอะไร (Anchor and backlink ด้านขวา) รวมไปถึงลิงก์ที่เชื่อมโยงมานั้นได้ลิงก์ไปยังหน้าใดของเว็บไซต์
ผมขออธิบายเพิ่มเติมอีกครั้ง โดยให้คุณสังเกตที่เว็บไซต์แรกสุด ตามภาพด้านล่าง
- Backlink จากเว็บไซต์ www.thejungalow.com
- Backlink ดังกล่าวใช้ Anchor Text คำว่า Style By Emily Henderson
- Backlink ดังกล่าวมีลิงก์เชื่อมโยงกลับมายังหน้า stylebyemilyhenderson.com (ซึ่งก็คือหน้า Homepage)
- ลูกศรสีเขียวด้านล่างแสดงถึงการ Redirect เนื่องจากแต่เดิม Backlink ดังกล่าวถูกชี้มายัง http://stylebyemilyhenderson.com หลังจากนั้นเว็บไซต์มีการเปลี่ยน Protocol จาก http:// ไปยัง https:// จึงทำให้เกิดการ Redirect ดังกล่าวจากเว็บไซต์ http://stylebyemilyhenderson.com ไปยัง https://stylebyemilyhenderson.com
- คุณสามารถตรวจสอบความถูกต้องได้โดยการเข้าไปยังเว็บไซต์ www.thejungalow.com จากนั้นกด ctrl+f เพื่อทำการค้นหา anchor text คำว่า Style By Emily Henderson คุณก็จะพบลิงก์ดังกล่าวอยู่บนหน้าเว็บไซต์ที่กล่าวมา
หลังจากเข้าใจในการตรวจสอบดู Backlink แล้ว สิ่งต่อมาที่ผมอยากแนะนำคือ Backlink แบบไหนที่ดี แล้วแบบไหนที่ไม่ดี
Backlink ที่ดี?
Backlink ที่ดีมีลักษณะตามภาพด้านบน คือ ในส่วนของ Anchor and backlink (ด้านขวามือ) คุณจะพบกับข้อความบางส่วนประกอบอยู่ระหว่าง Backlink ได้แก่
similar to the color Emily Henderson just chose for her new kitchen. Maybe she reads my blog? haha! Not. ซึ่งคำว่า new kitchen คือส่วนที่เป็น Backlink กลับมายังเว็บไซต์หลักนั่นเอง ในที่นี้มีความหมายว่า Backlink ดังกล่าวไม่ใช่เพียงแค่ Anchor Text โดดๆ แต่เป็น Backlink ที่ถูกเชื่อมโยงมาจากบทความ มีความเป็นส่วนหนึ่งของบทความ ไม่ใช่การเชื่อมโยงโดยไร้ซึ่งที่มา ส่วนตัวผมชอบลักษณะของ Backlink ประเภทนี้เพราะดูมีความสมบูรณ์แบบมากที่สุด
ลองไปดูบทความจริงๆว่ามีหน้าตาเป็นอย่างไร เริ่มด้วยกดที่ลิงก์ด้านซ้าย http://www.averielane.com/2017/01/averie-lane-farmhouse-studio-makeover.html จะปรากฎหน้าเพจตามภาพด้านล่าง
สิ่งที่เห็นก็คือ Backlink ที่มี anchor text คำว่า new kitchen ถูกเชื่อมโยงกลับมายังเว็บไซต์ https://stylebyemilyhenderson.com/blog/new-modern-english-country-kitchen ตามที่ Site Explorer ได้แสดงให้เห็นในตอนแรกอย่างถูกต้องทุกประการ
Backlink ที่ไม่ดีและควรหลีกเลี่ยง?
สำหรับ Backlink ที่ไม่มีคุณภาพและควรหลีกเลี่ยงให้เร็วที่สุด เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เว็บไซต์ของคุณถูกลดอันดับหรือลบออกจากผลการค้นหา ตัวอย่างของ Backlink ที่อาจจะก่อให้เกิดปัญหาได้แก่
- Pingback/Trackback
Backlink ประเภท Pingback หรือ Trackback นั้นควรหลีกเลี่ยง เนื่องจากเว็บไซต์ต้นทางเปิดให้เจ้าของเว็บไซต์อื่นๆ สามารถ Pingback กลับไปยังเว็บไซต์ของตนเองได้ ทำให้มีจำนวน Outbound Link (ลิงก์เชื่อมโยงออกภายนอกเว็บไซต์) มากเกินไป อย่าลืมว่าไม่ใช่เพียงคุณคนเดียวที่ Pingback ได้ เพราะเว็บมาสเตอร์คนอื่นๆก็สามารถทำได้เช่นกัน ดูได้จากภาพด้านล่าง
Anchor Text คำว่า 30 Best Easter Egg DIY’s | Emily Henderson ก็เป็นเพียงแค่ 1 ในร้อยหรืออาจจะหลักพันลิงก์ในหน้าเว็บไซต์นี้ ซึ่งปริมาณลิงก์ออก (Outbound Link) มหาศาลขนาดนี้ จะส่งผลให้เว็บต้นทางโดนลดอันดับจาก Google หรือแย่ที่สุดก็อาจจะโดนลบออกจากผลการค้นหา ผลเสียนั้นอาจย้อนกลับไปยังเว็บไซต์ที่มีลิงก์เชื่อมโยงจากเว็บไซต์ดังกล่าว ทำให้เกิดปัญหาตามมาในที่สุด
- Sitewide Link
Sitewide Link คือ Backlink ที่จะแสดงขึ้นในทุกๆหน้าของเว็บไซต์ จึงได้ชื่อว่า Sitewide นั่นเอง (แปลว่าทั่วทั้งเว็บไซต์) โดยส่วนตัวแล้ว Backlink ประเภทนี้ก็จัดเป็นอีกหนึ่งชนิดที่ควรหลีกเลี่ยงเช่นกัน คุณสามารถดูหน้าตาของ Sitewide Link ได้จาก Ahrefs.com เช่นกัน ตามภาพด้านล่าง
จากภาพดังกล่าว หากคุณลองเข้าไปยังเว็บไซต์ใดก็ตาม แล้วทำการค้นหา Anchor Text ตามที่ปรากฎ คุณจะพบว่า Backlink ทั้งหมดเป็น Sitewide Link
- Web 2.0 Link
เรียกได้ว่าแทบทุกเว็บไซต์มักหนีไม่พ้น Backlink ที่เชื่อมโยงมาจากเว็บ 2.0 มักพบได้ทั่วไปเช่น Blogger (โดเมน .blogspot.com) WordPress (โดเมน .wordpress.com) เป็นต้น เหตุก็เพราะว่าเว็บไซต์เหล่านี้สามารถสมัครบัญชีง่าย จึงเป็นที่จับตามองของเหล่านักสแปม ที่จะสแปม Blog ไร้คุณภาพเพื่อสร้าง Backlink เชื่อมโยงกลับไปยังเว็บไซต์ของตนเอง
4. ดูข้อมูลทราฟฟิคจาก Similarweb.com
เว็บไซต์สุดท้ายที่ผมให้ความสำคัญนั่นก็คือ Similarweb ดังที่ได้กล่าวไว้แล้วว่าความสามารถของมันเทียบเท่ากับ Google Analytics ดีๆนี่แหละครับ ข้อมูลที่ผมต้องการจาก Similarweb คือ ปริมาณของทราฟฟิค โดยคุณเพียงแค่เข้าสู่เว็บไซต์ Similarweb.com จากนั้นกรอกเว็บไซต์ที่คุณต้องการ ก็เป็นอันเรียบร้อย
จากภาพ ข้อมูลที่ผมต้องการก็คือ Total Visits ซึ่งมีค่าถึง 322.10K ต่อเดือน (ทราฟฟิค 322,100 ต่อเดือน) นับว่าสูงมาก สำหรับค่าอื่นๆคุณสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จากเว็บไซต์ Similarweb หรือ Google ได้เลยครับ
พอคุณทราบข้อมูลทราฟฟิคโดยเฉลี่ยแล้ว สิ่งที่สำคัญที่ขาดไม่ได้คือ ที่มาของทราฟฟิคเหล่านั้น (Traffic Source) คุณสามารถเลื่อนลงมาอีกนิดหน่อยก็จะพบกับข้อมูลดังกล่าว ตามภาพต่อไปนี้
ในส่วนของ Traffic by Countries จะจำแนกทราฟฟิคทั้งหมดโดยแบ่งตามประเทศของทราฟฟิคนั้นๆ ซึ่งในที่นี้มีประเทศสหรัฐอเมริกามาเป็นอันดับ 1 นับว่าเป็นทราฟฟิคที่มีคุณภาพ ถัดลงมาคุณจะพบกับ Traffic Sources โดยจำแนกทราฟฟิคทั้งหมดตามแหล่งที่มา ส่วนตัวผมให้น้ำหนักกับ Direct และ Search เป็นอันดับต้นๆ รองลงมาก็คือ Referrals ครับ
- Direct – ทราฟฟิคที่ไม่มีแหล่งที่มา อาจเป็นทราฟฟิคจากผู้เข้าใช้งานเว็บผ่านการพิมพ์ URL โดยตรง หรือการกดเข้าชมเว็บไซต์จาก Bookmark หากทราฟฟิคประเภทนี้สูง แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของชื่อโดเมนของคุณ เพราะคนที่เข้าชมเว็บไซต์คุณสามารถจดจำชื่อโดเมนและพิมพ์ URL เพื่อเข้าชมเว็บไซต์ได้
- Referrals – ทราฟฟิคที่มีแหล่งที่มา ยกตัวอย่างเช่น เว็บไซต์ของคุณมีการแลกเปลี่ยนลิงก์กับเว็บไซต์เพื่อนบ้าน แล้วมีผู้เข้าชมสนใจและคลิกตามเข้ามายังเว็บไซต์ของคุณ เว็บไซต์ของคุณก็จะได้รับทราฟฟิคประเภท Referrals นั่นเอง
- Search – ทราฟฟิคที่เกิดจากการ Search พูดง่ายๆคือ ทราฟฟิคที่มาจากผลการค้นหาจากเว็บไซต์ Search Engine ไม่ว่าจะเป็น Google, Yahoo หรือ Bing เป็นต้น ยิ่งทราฟฟิคประเภทนี้มากเท่าไร ก็แสดงให้เห็นความแข็งแกร่งในอันดับผลการค้นหาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของ SEO
- Social – ทราฟฟิคที่มาจาก Social Media เช่น Facebook, IG, Twitter เป็นต้น ทราฟฟิคประเภทนี้มักมีปริมาณทราฟฟิคที่สูง แต่ความคงทนของทราฟฟิคค่อนข้างต่ำ เพราะผู้เข้าชมเว็บไซต์ผ่านลิงก์ที่คุณอาจจะเคย post ไว้ใน Social Media และจากนั้นไม่นานก็กดปิด ทำให้บางครั้งส่งผลโดยตรงต่อ Bounce Rate ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
- Mail – ทราฟฟิคที่มาจาก Email ทั้งการทำ Email Marketing, Email Subscription และๆอื่น
- Display – ทราฟฟิคที่มาจากการลงโฆษณาในเว็บไซต์อื่นๆ จะถูกจัดอยู่ในประเภท Display (Display Advertising)
TL;DR
- TF บอกถึงความน่าเชื่อถือ ส่วน CF บอกถึงปริมาณของแหล่งอ้างอิงที่เชื่อมโยงมายังเว็บไซต์ของคุณ
- CF สูง ไม่ได้แปลว่า TF จะสูงขึ้นตาม อัตราส่วนระหว่าง TF:CF ที่เหมาะสมคือ 1:1 แต่หาก TF ยิ่งมาก ก็จะยิ่งมีความน่าเชื่อถือสูง
- หาก CF สูงแต่ TF ต่ำมากๆ มีแนวโน้มที่เว็บไซต์จะโดนลิงก์สแปมเพราะปริมาณลิงก์ขาเข้าค่อนข้างสูง แต่ความน่าเชื่อถือที่ต่ำ ต้องรีบแก้ไขอย่างด่วนที่สุด
- DA บอกถึงคุณภาพความน่าเชื่อถือของทั้งโดเมน ส่วน PA บอกถึงคุณภาพความน่าเชื่อถือของหน้าเพจนั้นๆ
- Ahrefs บอกรายละเอียดของ Backlinks, Anchor Text และอื่นๆ
- Similarweb ใช้สำหรับดูปริมาณและแหล่งที่มาของทราฟฟิค (ถ้าเป็นเว็บไซต์ของคุณเองสามารถใช้ Google Analytics แทนได้เลยครับ)
- Traffic Source ที่แนะนำคือ Direct และ Search รองลงมาก็คือ Referrals traffic
- เว็บไซต์ที่ดีต้องมีค่า Metrics และ Traffic ไปในทิศทางเดียวกัน เว็บที่ Metrics ดีมากๆแต่ไม่มีทราฟฟิค มีแนวโน้มที่จะเป็นเว็บสแปมได้เช่นกัน เว็บไซต์ชื่อดังส่วนใหญ่มักมีปริมาณทราฟฟิคสูง แต่ค่า Metrics ไม่ได้สูงมากนัก ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา
สุดท้ายนี้ การทำเว็บไซต์ที่ดีคือการคัดสรรเนื้อหาที่มีประโยชน์ต่อผู้เข้าชม หากเว็บไซต์ของคุณมีผู้เข้าชมจำนวนหนึ่งอย่างต่อเนื่องก็จะส่งผลให้อันดับของเว็บไซต์คุณดีขึ้นเองโดยธรรมชาติ คะแนน metrics ต่างๆเป็นเพียงแค่ส่วนประกอบหนึ่งที่สามารถบ่งบอกได้แค่เพียงคร่าวๆว่าเว็บไซต์นั้นดีหรือไม่ หากคุณต้องการมีเว็บไซต์ที่ดีและมี metrics ที่สูง การพัฒนาและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเพิ่มปริมาณเนื้อหาที่มีประโยชน์ เพื่อให้ทุกส่วนผสมออกมาลงตัวมากที่สุดคือหัวใจของการสร้างเว็บไซต์ที่ดี
ขอบคุณและสวัสดี